ทันตกรรมปริทันต์ Periodontics Dentistry
คือ สาขาหนึ่งของทันตกรรมที่มุ่งเน้นการรักษาโรคเหงือกและปริทันต์ โดยโรคปริทันต์เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบและติดเชื้อของเหงือก เอ็นยึดฟ ัน กระดูกเบ้าฟัน และผิวรากฟัน ซึ่งเกิดจากการสะสมของคราบพลัคและหินปูนเป็นเวลานาน
การรักษาโรคปริทันต์ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค โดยหากโรคยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ทันตแพทย์ปริทันต์อาจใช้วิธีการขูดหินปูนและการทำความสะอาดลึกใต้เหงือกเพื่อกำจัดคราบพลัคและหินปูนที่เป็นสาเหตุของโรค หากโรคอยู่ในระยะรุนแรง ทันตแพทย์ปริทันต์อาจจำเป็นต้องใช้วิธีการรักษารากฟันหรือการผ่าตัดปริทันต์
การรักษาโรคปริทันต์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ตามลักษณะของการรักษา

สาเหตุ ของโรคปริทันต์
สาเหตุหลักของโรคปริทันต์ คือการก่อตัวของคราบพลัคและหินปูน โดยคราบพลัคเป็นชั้นฟิล์มบางๆ ของแบคทีเรียที่เกาะติดกับฟัน หากคราบพลัคไม่ถูกจำกัดออกอย่างสม่ำเสมอ แบคทีเรียในคราบพลัคจะผลิตกรดและสารพิษที่ทำให้เกิดการอักเสบของเหงือก เมื่อเวลาผ่านไป เหงือกจะร่นลง กระดูกเบ้าฟันละลาย และฟันอาจโยกคลอนและหลุดได้
อาการของโรคปริทันต์
-
เหงือกบวมแดง อักเสบ
-
เหงือกมีเลือดออกขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน
-
ฟันโยกคลอน
-
มีกลิ่นปาก
-
รสชาติอาหารเปลี่ยนไป
** หากมีอาการดังกล่าว ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคปริทันต์โดยเร็วที่สุด **
เกลารากฟันรักษาโรคปริทันต์ Root planning
เป็นขั้นตอนการรักษาโรคปริทันต์ที่มีประสิทธิภาพมาก โดยทันตแพทย์จะขูดหินปูนและคราบพลัคที่เกาะติดอยู่ใต้เหงือกออกอย่างละเอียดด้วยเครื่องมือพิเศษ ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลานานกว่าการขูดหินปูนทั่วไป เนื่องจากต้องอาศัยความชำนาญและความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ประโยชน์ของการเกลารากฟัน
-
ช่วยกำจัดคราบพลัคและหินปูนที่อยู่ลึกลงไปใต้เหงือก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคปริทันต์
-
ช่วยรักษาเหงือกอักเสบและลดอาการบวมแดง
-
ช่วยป้องกันไม่ให้โรคปริทันต์ลุกลามรุนแรง
เกลารากฟันมักใช้รักษาโรคปริทันต์ในระยะเริ่มต้นหรือระยะปานกลาง โดยทันตแพทย์จะนัดผู้ป่วยมารับการรักษา 1-4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 1 ชั่วโมงในการขูดหินปูนและเกลารากฟัน จากนั้นจะนัดผู้ป่วยมาตรวจอีกครั้งเพื่อประเมินผลการรักษา และหากจำเป็นอาจจำเป็นต้องนัดผู้ป่วยมารับการรักษาเพิ่มเติม
หลังการรักษาเกลารากฟัน ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเหงือกหรือมีเลือดออกบ้างเล็กน้อย ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน ผู้ป่วยควรดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการกลับมาของโรคปริทันต์
ขั้นตอนการเกลารากฟันมี ดังนี้
-
การตรวจวัดร่องปริทันต์ และ เอ็กซ์เรย์ (X-ray) ฟัน เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคปริทันต์ ว่าอยู่ในระยะเริ่มต้น ระยะปานกลาง หรือระยะรุนแรง
-
ขูดหินปูน (Scaling) ก่อนทำการเกลารากฟัน เพื่อกำจัดหินปูนและคราบจุลินทรีย์ที่เกาะอยู่บนตัวฟันและบริเวณขอบเหงือกออก
-
เกลารากฟัน (Root Planing) เป็นขั้นตอนหลักของการรักษา โดยทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือพิเศษขูดหินปูนและคราบพลัคที่เกาะติดอยู่ใต้เหงือกออกอย่างละเอียด โดยอาจต้องใช้เวลานานกว่าการขูดหินปูนทั่วไป เนื่องจากต้องอาศัยความชำนาญและความระมัดระวังเป็นพิเศษ
-
ในกรณีเป็นโรคปริทันต์ชนิดรุนแรง ต้องใช้การผ่าตัดเปิดเหงือก (ศัลย์ปริทันต์ : Periodontal Surgery) เพื่อทำการรักษา การผ่าตัดเปิดเหงือกเป็นขั้นตอนการรักษาที่ทันตแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม โดยอาจใช้วิธีตัดเหงือก กรอแต่งกระดูก หรือร่นเหงือก
-
หลังจากเสร็จสิ้นการเกลารากฟันแต่ละครั้ง ต้องนัดพบทันตแพทย์ประจำทุก 3-6 เดือน เพื่อตรวจสอบว่าสุขภาพเหงือกดีขึ้นหรือไม่ และจะตรวจสภาพร่องลึกปริทันต์ด้วย
วิธีดูแลสุขภาพช่องปากหลังการรักษาเกลารากฟัน ได้แก่
-
แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละอย่างน้อย 2 นาที
-
ใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง
-
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่แข็งหรือเหนียว
-
ไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูนทุก 6 เดือน
หากมีอาการดังต่อไปนี้หลังการรักษาเกลารากฟัน ควรไปพบทันตแพทย์โดยเร็วที่สุด
-
เหงือกบวมแดงมาก
-
มีเลือดออกบ่อย
-
มีอาการปวดฟัน
-
มีกลิ่นปากรุนแรง
ตัดแต่งเหงือกเพิ่มความยาวตัวฟันด้วยใบมีด Crown legthening
เป็นการตัดเหงือกออกด้วยการใช้ใบมีด โดยเป็นการผ่าตัดเหงือกอาจมีการร่วมกับการกรอกระดูก เพื่อยกระดับทำให้ฟันดูยาวขึ้น ใช้กับผู้ที่มีปัญหายิ้มเห็นเหงือก อาจจะหลังจากจัดฟันเสร็จ รอยยิ้มไม่สวยงามเนื่องจากเห็นเหงือกมากเกินไป ทำเพื่อเพิ่มความยาวตัวฟันก่อนที่จะทำการบูรณะด้วยครอบฟัน สะพานฟัน หรือก่อนการใส่ฟันเทียม หรือทำในรายที่เหงือกบวมแดงเจ็บ จนมีปัญหาการกัดสบฟัน โดยทันตแพทย์จะตัดเหงือกส่วนเกินออกและปรับรูปร่างให้เหมาะสมและสวยงามในตำแหน่งใหม่

ประโยชน์ของการตัดเหงือก
-
ช่วยเพิ่มความยาวของตัวฟัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะยิ้มเห็นเหงือก นิยมตัดหลังจากจัดฟันเสร็จ เพื่อให้มีรอยยิ้มสวยงามและมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น
-
ผลลัพธ์ในการจัดฟันดีขึ้น
-
ช่วยเพิ่มความยาวตัวฟันการการบูรณะฟันด้วยครอบฟันหรือสะพานฟัน
-
ปรับรูปร่างของเหงือกให้มีความสวยงามและสมมาตรกัน
การตัดเหงือกเพื่อรักษาโรคปริทันต์
การตัดเหงือกเพื่อรักษาโรคปริทันต์ (Gingivectomy for periodontal disease) เป็นการผ่าตัดเหงือกเพื่อกำจัดคราบพลัคและหินปูนที่เกาะติดอยู่ใต้เหงือก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคปริทันต์
โรคปริทันต์เป็นภาวะที่เหงือกอักเสบและเกิดการละลายของกระดูกรอบรากฟัน ส่งผลให้เหงือกร่น ฟันโยก และอาจสูญเสียฟันได้ การตัดเหงือกเพื่อรักษาโรคปริทันต์เป็นขั้นตอนการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง โดยทันตแพทย์จะตัดเหงือกส่วนเกินออกและทำความสะอาดร่องเหงือกอย่างละเอียด เพื่อให้เหงือกกลับมาแข็งแรงและยึดติดกับฟันได้ดียิ่งขึ้น
การตัดเหงือกเพื่อรักษาโรคปริทันต์มักใช้กับผู้ที่มีอาการเหงือกอักเสบรุนแรง มีร่องเหงือกลึกมากกว่า 5 มิลลิเมตร หรือมีหินปูนสะสมใต้เหงือกมาก
ขั้นตอนการตัดเหงือก
-
การซักประวัติและตรวจสุขภาพช่องปาก ทันตแพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจสุขภาพช่องปาก เพื่อประเมินความรุนแรงของปัญหาและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
-
การฉีดยาชา ทันตแพทย์จะทำการฉีดยาชาบริเวณเหงือก เพื่อระงับความเจ็บปวด
-
การวาดเส้นกำหนดขอบเหงือก ทันตแพทย์จะวาดเส้นกำหนดขอบเหงือกที่จะตัดออก
-
การตัดเหงือก ทันตแพทย์จะใช้ใบมีดตัดเหงือกส่วนเกินออกตามเส้นที่กำหนดไว้
-
การกรอกระดูกฟัน ในกรณีที่คนไข้มีปัญหากระดูกฟันนูนร่วมด้วย แพทย์จะกรอและตกแต่งกระดูกฟันให้เกิดความสมดุล
-
การปิดแผล หลังการผ่าตัดจะมีไหมเย็บแผล และยาปิดแผลปิดอยู่บริเวณเหงือก
-
คำแนะนำในการดูแลความสะอาด แพทย์จะแนะนำวิธีดูแลความสะอาดในเบื้องต้น และนัดติดตามผลหลังทำ
ข้อดีของการตัดเหงือกด้วยใบมีด
-
ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการตัดเหงือกด้วยเครื่อง electrocautery
-
ใช้เวลาในการผ่าตัดน้อยกว่า
ข้อเสียของการตัดเหงือกด้วยใบมีด
-
มีโอกาสเกิดเลือดออกและการติดเชื้อมากกว่า
-
มีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นมากกว่า
ข้อควรปฏิบัติหลังการผ่าตัดตัดเหงือกด้วยใบมีด
-
ควรรับประทานอาหารอ่อน ๆ ในช่วงแรก
-
ควรแปรงฟันและบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากตามปกติ
-
ไม่ควรบ้วนปากแรง ๆ
-
ไม่ควรสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์
-
ควรไปพบทันตแพทย์ตรวจแผลและตัดไหมตามนัด